การขายของแบบ OMNICHANNEL ไม่ได้หมายถึงแค่การมีช่องทางการขายที่หลากหลาย แต่หมายถึงการมอบประสบการณ์การช้อปปิ้งจากการขายหลายช่องทางให้ลูกค้าอย่างไม่สะดุด
เมื่อพูดถึงคำว่า “ประสบการณ์ช้อปปิ้งที่ไม่สะดุด” แล้วล่ะหลายคนอาจจะนึกไม่ออกว่าคืออะไร ขอยกตัวอย่างครับ สมมติว่า คุณเป็นเจ้าของร้านกระเป๋าร้านหนึ่ง มีร้านอยู่ที่สยาม สแควร์ และ ยังมีเว็บไซต์ขายของ และ Facebook Page, IG , Line@ และนอกจากนี้ยังเปิดรับตัวแทนจำหน่าย Dropship อีกด้วย
วันนึงมีลูกค้าสาวสวยเข้ามาที่ร้านชองคุณ ลูกค้าคนนี้ต้องไปงานแต่งงาน ได้เข้ามาลองสะพายกระเป๋าของคุณ 3 สี แต่เธอไม่สามารถตัดสินใจได้ว่ากระเป๋าใบไหนสวย เธอจึงถ่ายรูปไปให้เพื่อนช่วยเลือกให้ และเธอได้จากไป แต่ก่อนที่จากไปคุณได้ฝากเว็บไซต์ของคุณไว้ให้เธอแล้ว
ขณะที่กินข้าวเย็นไปเล่นไลน์ไป แชทจากเพื่อนในกลุ่มก็เด้งขึ้นมา “สีทองสวย เหมาะมาก ฝากซื้อด้วย 1 ใบ” เธอจึงตัดสินใจเข้าไปในเว็บไซต์เพื่อสั่งซื้อ แต่สีทองเหลือใบเดียว น่าจะเป็นใบที่เธอลองที่ร้านของคุณนี่แหละ เพื่อนเธอจึงเปลี่ยนมาเอาสีเงินแทน เธอสั่งไป 2 ใบและได้สินค้าในวันรุ่งขึ้น
สามวันถัดมา ขณะที่เธอเลื่อนนิ้วเล่น Facebook เธอเห็นโฆษณารองเท้าสีทองที่เข้ากับกระเป๋าของเธอ เธอเลยทัก Inbox เข้าไปเพื่อสั่งซื้อผ่าน page ของร้านคุณ
แล้วเธอใส่รองเท้า สะพายกระเป๋า เข้าไปงานแต่งงาน เพื่อนของเธอเห็นว่าสวยมาก อยากได้ถามว่าซื้อมาจากที่ไหน เธอจึงเห็นโอกาส และตัดสินใจเข้ามาสมัครเป็นตัวแทนจำหน่ายของร้านคุณ
จากตัวอย่าง จะเห็นได้ว่าแค่ลูกค้าค้า 1 คน หากคุณขายของแบบ OMNICHANNEL แล้วสามารถทำให้ประสบการณ์ซื้อของลูกค้าของคุณไม่สะดุดแล้วล่ะ คุณจะสามารถสร้างยอดขายที่เพิ่มขึ้นได้ และจากตัวอย่างคุณอาจจะเปลี่ยนลูกค้าให้มาเป็นคนขายของให้คุณได้อีกด้วย